ทุกวันนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะมีคอนโดใหม่ ๆ สร้างขึ้นมาให้เห็นตลอด โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าและในละแวกใกล้เคียง จนดูเหมือนว่าคนในยุคปัจจุบันให้ความสนใจกับการซื้อคอนโดมากกว่าการซื้อบ้านไปแล้ว คอนโดที่สร้างใหม่หลาย ๆ แห่งก็มีดีไซน์สวย ส่วนกลางดี ดูทันสมัยเข้ากับไลฟ์สไตล์สุด ๆ จนหลายคนก็เริ่มอยากที่จะเป็นเจ้าของคอนโดขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ลำพังจะดูแค่ดีไซน์และราคาของโครงการก็อาจจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาด
แล้วถ้าหากอยากซื้อคอนโดไว้สักห้อง ก่อนซื้อคอนโดต้องดูอะไรบ้าง จะต้องเลือกโครงการแบบไหนดี จะมีปัจจัยอะไรบ้างที่จำเป็นต่อการตัดสินใจซื้อคอนโด ? วันนี้เราจะเล่าให้ฟังว่านอกจากต้องดูเรื่องราคาคอนโดแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่จะต้องศึกษาให้ละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ โดยปัจจัยเหล่านั้นจะมีอะไรบ้าง ไปเริ่มดูได้เลย !
ปัจจัยที่จำเป็นต่อการเลือกซื้อคอนโด
1. ทำเลที่ใช่
สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ทำเล เพราะทำเลที่ใช่จะต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเรา เช่น หากเราไม่มีรถส่วนตัวหรือเดินทางด้วยการใช้ขนส่งสาธารณะ คอนโดก็ควรจะอยู่ในทำเลที่สามารถเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะได้สะดวก นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว ยังมีอีก 3 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับทำเลที่ตั้ง ซึ่งจำเป็นต่อการเลือกซื้อคอนโด
-
สิ่งอำนวยความสะดวกในละแวกนั้น
ในการใช้ชีวิตนอกจากที่อยู่อาศัยก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่จำเป็น สิ่งหนึ่งที่ควรดูก็คือ ในละแวกโครงการที่สนใจมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันหรือไม่ เช่น แหล่งของกิน ร้านค้า ขนส่งสาธารณะ หรือโรงพยาบาล เป็นต้น
-
ทำเลที่ตั้งเข้ากับไลฟ์สไตล์
เพราะไลฟ์สไตล์เป็นเรื่องสำคัญ ที่ว่ากันว่า “ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน” ให้เลือกโดยอิงตามความพอใจของเรา สิ่งที่คนอื่นบอกว่าดีอาจจะไม่เข้ากับเราก็ได้ เช่น เราชอบความสงบ การเลือกอยู่ทำเลในเมืองที่มีคนพลุกพล่านก็คงไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเรา การออกมาอยู่ชานเมืองอาจจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากกว่า เป็นต้น
-
ห่างจากที่ทำงานแค่ไหน
การเดินทางไกล ๆ เป็นอีกสิ่งที่ดูดพลังงานการใช้ชีวิตในแต่ละวันไปไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะรถติด หรือต้องยืนเบียดกับคนบนรถไฟฟ้า 9-10 สถานี ดังนั้น จึงควรเลือกที่อยู่อาศัยที่ใช้เวลาไม่นานในการเดินทางมาทำงาน
2. รูปแบบโครงการ
หลาย ๆ โครงการในปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูงมาก จึงทำให้แต่ละโครงการต้องสร้างจุดเด่นและวาง Concept เพื่อดึงลูกค้า ดังนั้นในการเลือกซื้อคอนโด ควรดูรูปแบบของโครงการที่ต้องการจะซื้อด้วยว่าเหมาะกับเราไหม ซึ่งรูปแบบโครงการหลัก ๆ ก็จะมีดังนี้
-
เน้น Relaxing
ทางโครงการจะเน้นบรรยากาศโครงการให้เหมาะแก่การพักผ่อน คล้ายรีสอร์ต มีการจัดสวนและพื้นที่ในการพักผ่อน
-
เน้นความ Sport
ในโครงการก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์คนที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย เช่น การมีลู่วิ่งในสวน สระน้ำขนาดโอลิมปิก หรือห้องฟิตเนสที่มีอุปกรณ์ครบครัน
-
เน้น Co-working space
ในปัจจุบันหลาย ๆ บริษัทมักจะมีการกำหนดวัน Work From Home จึงทำให้หลาย ๆ โครงการเริ่มหันมาเน้นการวาง Concept ในเรื่องการทำห้อง Co-working space หรือห้อง Meeting เพื่อตอบโจทย์คนที่ทำงานที่บ้าน
-
เน้น Party
โครงการแบบนี้ก็จะวาง Concept มาเพื่อดึงดูดกลุ่มคนที่มีเพื่อนเยอะ และชอบสังสรรค์ ซึ่งในโครงการก็จะมีทั้งห้องดูหนัง ห้องจัด Party ไว้รองรับ
3. รูปแบบห้อง
การที่เลือกรูปแบบห้องให้เหมาะสมกับความต้องการหรือความจำเป็น นอกจากที่จะสามารถใช้ประโยชน์ได้ในทุกพื้นที่แล้ว ยังลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็นได้อีกด้วย เพราะราคาของคอนโดยิ่งจำนวนตารางเมตรเยอะ ราคาก็จะสูงตามไปด้วยนั่นเอง ซึ่งรูปแบบห้องหลัก ๆ ของคอนโดก็จะมีให้เลือกดังนี้
-
สตูดิโอ
25 ตร.ม. – 30 ตร.ม. ห้องสตูดิโอจะรวมทุกอย่างไว้ในห้องเดียว เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องนอน โต๊ะกินข้าว เป็นต้น
-
1 ห้องนอน
29 ตร.ม.- 50 ตร.ม. มีการกั้นแบ่งสัดส่วนต่าง ๆ ภายในห้อง โดยจะใช้ประตูกระจกบานเลื่อนเป็นตัวกั้น
-
1 ห้องนอน Plus
32 ตร.ม.- 50 ตร.ม. รูปแบบเหมือนกับห้องประเภท 1 ห้องนอน แต่จะได้ห้องอเนกประสงค์เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ห้อง สามารถนำห้องนี้ไปทำเป็นห้องอะไรก็ได้
-
2 ห้องนอน
40 ตร.ม. ขึ้นไป ในห้องประเภทนี้จะแยกออกเป็นห้องนอนใหญ่และห้องนอนเล็ก ซึ่งห้องใหญ่จะสามารถวางเตียงได้ 5-6 ฟุต และห้องเล็กเป็นเตียง 3 ฟุต ขึ้นไป
-
ดูเพล็กซ์/ลอฟต์
35 ตร.ม. ขึ้นไป ห้องประเภทนี้จะมีเพดานสูงกว่าห้องคอนโดทั่วไป ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย โดยจะมีทั้งแบบ 1 และ 2 ห้องนอน
-
เพนต์เฮาส์
100 ตร.ม. ขึ้นไป ห้องใหญ่ที่สุด และส่วนใหญ่มักจะอยู่ชั้นบนสุดของคอนโด ซึ่งเป็นห้องที่มีราคาสูงมาก เน้นความหรูหราและมีความเป็นส่วนตัวมากที่สุด
4. ปริมาณลิฟต์และที่จอดรถ
สิ่งสำคัญที่หลาย ๆ คนมองข้ามไป สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้คือ สิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน จึงต้องเลือกโครงการที่มีลิฟต์และที่จอดรถเพียงพอต่อความต้องการ เพราะคงไม่มีใครอยากเสียเวลายืนรอลิฟต์นาน ๆ หรือเสียเวลาวนหาที่จอดรถหลังเลิกงานแน่ ๆ
- ปริมาณลิฟต์ที่เหมาะสมให้ใช้สูตร 1:100 คือ ในทุก ๆ 100 ยูนิต จะต้องมีลิฟต์ 1 ตัว
- ที่จอดรถควรมีพื้นที่จอดรถมากกว่า 60% ของยูนิต ทำให้สามารถหาที่จอดรถได้ไม่ยาก
5. ความเสี่ยงรอบข้างโครงการ
ในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามมากที่สุดเลยก็คือ ความเสี่ยงโดยรอบ เช่น รอบ ๆ โครงการมีร้านแก๊สหรือวัตถุไวไฟที่อันตรายอยู่ใกล้ ๆ หรือซอยโครงการในช่วงฝนตกมีน้ำท่วมหรือไม่ เพราะความเสี่ยงเหล่านี้นอกจะสามารถทำให้ทรัพย์สินเสียหายแล้ว อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้เช่นกัน
สรุป
นี่ก็คือปัจจัยหลัก ๆ ที่อาจจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถสร้างความไม่สบายใจให้แก่ผู้อยู่อาศัยได้ และการซื้อคอนโดต้องใช้เงินก้อนใหญ่ อีกทั้งยังเป็นการสร้างหนี้ในระยะยาว จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องดูให้ดี ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีปัญหาจุกจิกกวนใจในภายหลังนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก