หากคุณอยากลองปลูกผักออร์แกนิคกินเอง แต่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ เช่น อยู่คอนโด อยู่บ้านที่พื้นที่ไม่มาก และไม่อยากลงทุนหรือลงแรงมากนัก ดังนั้น การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์จะตอบโจทย์ข้างต้นของคุณได้ทุกข้อ
ไฮโดรโปนิกส์ คืออะไร
ไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics) มาจากภาษากรีก 2 คำ คือ Hydro (น้ำ) กับ Ponos (ทำงาน) เมื่อนำมารวมกันก็จะได้ความหมายว่า “การทำงานที่เกี่ยวกับน้ำ”
การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์คืออะไร
การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์คือการปลูกพืชใด ๆ ก็ตามที่ใช้น้ำแทนการปลูกลงดิน โดยน้ำที่ใช้จะเป็นของเหลวในรูปแบบของสารละลายที่มีสารอาหารของพืชรวมอยู่ด้วย หรือที่เรียกกันว่า “ปุ๋ยน้ำ” ซึ่งการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์มักจะนิยมปลูกพืชแบบกินใบ และพืชที่ใช้เวลาเก็บเกี่ยวไม่นานมาก เช่น ผักกาดหอม บัตเตอร์เฮ้ด เป็นต้น ซึ่งผักชนิดนี้จะใช้เวลาเก็บเกี่ยวอยู่ที่ 40 ถึง 60 วันโดยประมาณ
ผักไฮโดรโปนิกส์ คือผลสำเร็จจากการวิจัยร่วมกันระหว่างนักพฤกษศาสตร์ กับนักเคมี
ในปีคริสต์ศักราช 1860-1865 นักพฤกษศาสตร์นาม จูเลียส ฟอน แซคส์ (Julius von Sachs) และนักเคมีนาม วิลเฮ็ล์ม คนอป (Wilhelm Knop) ได้ร่วมกันวิจัยและปลูกผักโดยใช้สารละลายเกลือ และสารอนินทรีย์ต่าง ๆ โดยต้นไม้ต้นแรกที่ประสบความสำเร็จคือ ต้นมะเขือเทศ
การรับประทานผักไฮโดรโปนิกส์
ผู้คนทั่วไปนิยมรับประทานผักไฮโดรโปนิกส์ในรูปแบบของสลัด หรือการทานสด เพราะว่ามีผักหลายชนิดที่สามารถปลูกได้ด้วยวิธีนี้ ทั้งมันฝรั่ง เมล่อน สตรอว์เบอร์รี่ หอมใหญ่ ไชเท้า เป็นต้น ซึ่งขึ้นอยู่การเจริญเติบโตของพืชแต่ละชนิดที่นำมาปลูกด้วย
ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์กินเองจะทำให้เกิดโรคมะเร็งจริงหรือ??
การปลูกผักโฮโดรโปนิกส์ยังเป็นที่ถกเถียงกันเกี่ยวกับสารเคมีในผักที่เกิดจากการสะสมของไนเตรท ซึ่งจะส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง แต่ก็ยังไม่มีผลการวิจัยที่ชัดเจนว่าการบริโภคผักที่ผ่านกระบวนการ Hydroponics จะทำให้เกิดโรคมะเร็งเลย
การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ทั้ง 5 ระบบ มีอะไรบ้าง
การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ จะใช้กันอยู่ทั้งหมด 5 ระบบ คือ
1. DFT (Deep Flow Technic)
เป็นการปลูกพืชโดยให้รากของพืชแช่อยู่ในสารละลายธาตุอาหารที่มีความลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร ในระบบน้ำนิ่ง
- โดยเติมอากาศในระบบโดยใช้ปั๊มออกซิเจน
- ปลูกได้ในภาชนะได้อย่างหลากหลาย เช่น กะละมังพลาสติก กล่องโฟม
- หากไฟฟ้าขัดข้องพืชก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้
2. NFT (Nutrient Film Technic)
เป็นการปลูกพืชโดยรากสัมผัสกับธาตุอาหารที่ไหลเป็นฟิล์มบางประมาณ 1-3 มิลลิเมตร โดยใช้ระบบหมุนเวียนน้ำ
- ซึ่งรากพืชจะได้รับออกซิเจนที่เพียงพอ
- เหมาะกับการปลูกพืชอายุสั้น
- หากเกิดไฟฟ้าขัดข้องอาจทำให้พืชที่ปลูกตายได้ เพราะว่าใช้ระบบหมุนเวียนน้ำ
3. DFRT(Dynamic Root Floating Technic)
เป็นการปลูกพืชโดยให้รากสัมผัสกับสารอาหารในน้ำกึ่งลึก ซึ่งใช้ระบบหมุนเวียนน้ำแบบ NFT แต่ว่าน้ำจะลึกแบบ DFT แต่ว่าสามารถปรับเปลี่ยนระดับน้ำได้
- รากพืชจะได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ และตัวพืชเองก็จะได้รับสารอาหารครบถ้วน
- เหมาะสำหรับการปลูกพืชผักในเขตประเทศไทย
- ปรับระดับน้ำได้ตามความเหมาะสมของพืชแต่ละชนิด
- หากระบบไฟฟ้าขัดข้องพืชจะยังคงมีชีวิตอยู่ได้
4. NFLT (Nutrient Flow Technic)
การปลูกโดยให้สารละลายธาตุอาหารของพืชไหลผ่านรากของพืชอยู่ตลอดเวลา โดยมีความลึกของสารละลายธาตุอาหารอยู่ที่ประมาณ 5-10 มิลลิเมตร ซึ่งเหมือนกับระบบ NFT แต่จะต่างกันตรงที่มีน้ำไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา
5. FAD (Food and Drain)
เป็นการปลูกพืชแบบน้ำขึ้นน้ำลง ซึ่งเป็นรูปแบบการผสมผสานระหว่าง NFT และ DFT ซึ่งเป็นการปล่อยให้สารละลายธาตุอาหารของพืชท่วมภาชนะปลูกและรากพืชอยู่ช่วงหนึ่ง จากนั้นก็ค่อย ๆ ระบายออกไป และปล่อยสารละลายธาตุอาหารของพืชเข้ามาอีกครั้ง สลับกันไปอย่างต่อเนื่อง
รูปแบบการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ในประเทศไทย
ในประเทศไทยนั้นจะนิยมปลูกกันอยู่ 2 ระบบ คือ Nutrient Film Technique (NFT) และ Deep Flow Technique (DFT)
การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์แบบ NFT (Nutrient Film Technique)
คือการปลูกพืชแบบให้รากแช่อยู่ในสารละลายโดยตรง โดยที่สารละลายที่เป็นแร่ธาตุและอาหารของพืชจะไหลคล้ายแผ่นฟิล์มบางที่มีความหนา ไม่เกิน 3 มิลลิเมตร อยู่ในรางปลูก ที่มีความกว้าง 5 ถึง 35 เซนติเมตร และมีความสูงอยู่ที่ 5 ถึง 10 เซนติเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดพืชที่ใช้ปลูก
การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์แบบ DFT (Deep Flow Technique)
เรียกกันทั่วไปว่าระบบรากแช่ เพราะว่าเป็นการปลูกโดยให้รากของพืชแช่อยู่ในสารละลายธาตุอาหารอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสำหรับพืชจะต้องมีระบบเติมอากาศเข้าไปในสารละลายด้วย เพื่อที่รากของพืชจะได้รับออกซิเจนอยู่ตลอดเวลา โดยการปลูกผักแบบ DFT นั้นเป็นต้นกำเนิดของการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ทุกรูปแบบ
การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์แบบง่าย ๆ ไม่ใช้พื้นที่เยอะ
ใช้กล่องโฟมปลูกผักไฮโดรโปนิกส์
การอยู่คอนโด ห้องเช่า หรือบ้านที่พื้นที่จำกัด ก็สามารถปลูกผักกินเองได้ เพียงใช้กล่องโฟมในการปลูก ซึ่งมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้
- นำเมล็ดพืชที่จะปลูกมาใส่ในฟองน้ำเปียก เพื่อเพิ่มความชื้น หลังจากเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ เมล็ดจะแตกเป็นต้นกล้า
- เตรียมกล่องโฟมขนาด 60×60 ตารางเมตร และเจาะรูบนกล่องโฟมให้เป็นรูกว้างพอจะใส่ถ้วยปลูก
- เว้นระยะห่างระหว่างช่องที่เจาะ 10 เซนติเมตร (หากเป็นผักสลัดจะต้องห่าง 30 เซนติเมตร)
- เมื่อเจาะกล่องโฟมเสร็จแล้ว ให้เติมน้ำและปุ๋ย เพื่อทำสารละลายอาหาร
- นำต้นกล้ามาใส่ในถ้วยปลูก และนำถ้วยปลูกมาใส่ในรูปที่เจาะเตรียมไว้
- รอเวลา 30 วัน โดยสังเกตให้ระดับน้ำอยู่สูงถึงถ้วยปลูกตลอดเวลา ผักไฮโดรโปนิกส์จากกล่องโฟมก็พร้อมกินแล้ว
วิธีปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ที่ระเบียงคอนโด
หากิจกรรมยาว่างทำ หรืออยากกินผักปลอดสารพิษแบบปลูกเอง การอาศัยอยู่บนคอนโดสูงก็สามารถปลูกผักกินเองได้ โดยมีขั้นตอนดังนี้
- เตรียมฟองน้ำทรงลูกบาศก์ ขนาด 1 ลูกบาศก์นิ้ว จากนั้นนำฟองน้ำมากรีดตรงกลางฟองน้ำให้เป็นเครื่องหมาย “+” โดยระวังอย่ากรีดให้ทะลุไปอีกฝั่งของฟองน้ำ
- แช่ฟองน้ำไว้ในน้ำสะอาดจนอิ่มน้ำ และจากนั้นแช่ค้างไว้อีก 1 คืน
- นำเมล็ดที่จะปลูกมาวางตรงกลางเครื่องหมาย “+” โดยไม่ต้องกดเมล็ดลงไป
- หลังผ่านไป 3 วัน เราจะได้ต้นกล้า จากนั้นให้เตรียมกระบะปลูกได้เลย โดยไม่จำเป็นว่าจะใช้ทรงไหน
- ตัดโฟมให้เท่ากับกระบะปลูก โดยวัดจากด้านในของภาชนะ เมื่อได้ขนาดตามต้องการก็ให้ ก็ให้เจาะรูปเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาด 1 ตารางนิ้ว เพื่อใส่ฟองน้ำที่เตรียมไว้ได้พอดี ไม่หลวม
- เตรียมปุ๋ยน้ำ Stock A 2 มิลลิลิตร กับน้ำ 1 ลิตร คนให้เข้ากัน หลังผ่านไป 10 นาที ให้ใส่ปุ๋ย Stock B ลงไป 2 มิลลิลิตร คนให้เข้ากันก็จะได้ปุ๋ยที่พร้อมให้งาน
- นำโฟมที่ใส่ต้นกล้าแล้วมาวางในกระบะปลูก โดยระวังอย่าให้รากขาด เพราะต้นกล้าอาจจะตายได้
- วางกระบะปลูกไว้หน้าระเบียง โดยไม่ให้โดนแดดโดยตรง เพราะว่าพืชผักจะไม่ชอบแดดจัดมาก
- เมื่อเวลาผ่านไป 14 วัน ก็สามารถให้ปุ๋ยที่เตรียมไว้ได้แล้ว
- หลังจากผ่านไป 35 วัน พืชที่ปลูกไว้ก็จะโตเต็มที่ ให้เทน้ำสะอาดลงไปแทนที่ปุ๋ยน้ำ
- รอเวลาอีกอย่างน้อย 5 วันพืชก็จะคายปุ๋ยที่สะสมไว้ ทำให้พืชที่ปลูกมีความสะอาดปลอดภัยจากสารเคมี
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเก็บเกี่ยวผักไฮโดรโปนิกส์คือเมื่อใด
การเก็บเกี่ยวผักไฮโดรโปนิกส์นั้นควรเก็บเกี่ยวในวันที่มีแสงแดด โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือช่วงบ่าย เพราะเป็นช่วงเวลาที่ ไนเตรทในพืชจะต่ำลง เพราะว่าหากเก็บเกี่ยวในช่วงที่มีแดดจัด พืชจะนำสารชนิดนี้มาใช้ประโยชน์ ทำให้พืชในช่วงเวลานี้ไนเตรทในพืชจะสูงมาก
ประโยชน์ของการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์คืออะไร
- เราสามารถควบคุมการใช้แร่ธาตุอาหารของพืชได้เอง ซึ่งง่ายกว่าปลูกในดิน ที่ควบคุมแร่ธาตุอาหารได้ไม่แน่นอน
- ประหยัดน้ำได้มากกว่า ถึง 10 เท่า เมื่อเทียบกับการปลูกในดิน
- ไม่ต้องเตรียมพื้นที่เยอะ อยู่บ้านพื้นที่จำกัด คอนโด หรือห้องเช่าก็ทำได้
- ควบคุมการเกิดโรคได้ดีกว่าการปลูกในดิน
- ให้ผลผลิตคงที่กว่า
- ให้คุณภาพสูงกว่าพืชที่ปลูกจากดิน
- หากทำเพื่อการค้าขาย จะได้ผลตอบแทนสูงว่าพืชที่ปลูกบนดิน
- ประหยัดเมล็ดพันธุ์กว่า
สรุป
แม้ว่าผักไฮโดรโปนิกส์จะยังเป็นที่ถกเถียงกันเรื่องเป็นผักที่มีสารก่อมะเร็งแต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยออกมารองรับ ดังนั้นผักที่ได้มาจากวิธีการปลูกแบบนี้จึงปลอดภัย เหมาะกับผู้ที่อยากทานผักปลอดสารพิษแบบปลูกเอง หรือผู้ที่หากิจกรรมยามว่างทำ เพราะว่าวิธีการปลูกผักออแกนิคนั้นมีหลากหลายวิธี นอกจากเหนือจากความปลอดภัยก็ยังมีในเรื่องของประโยชน์ ทั้งประหยัดน้ำกว่า ควบคุมโรคได้ดีกว่า ให้ผลผลิตที่แน่นอนกว่า เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก
www.ananda.co.th/blog/thegenc/ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์/
www.thaieasyplants.com/article/1/ปลูกผักบุ้งในตะกร้า-ระบบน้ำนิ่ง-dft-รวมตอน-1-4-ฉบับสมบูรณ์
www.dtwp.co.th/blog/00%20การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์.php
http://hydroponicscool.blogspot.com/2012/05/hydroponics_330.html