คริปโตเคอร์เรนซี คืออะไร? ฉบับเข้าใจง่าย ไม่ยากถ้าอยากเริ่มต้น

ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีผลต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี AI เทคโนโลยีทางอุตสาหกรรมและทางการแพทย์ใหม่ ๆ แต่รู้หรือไม่ว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่นี้ยังมีผลในเรื่องของการลงทุนสินทรัพย์อีกด้วย ซึ่งถ้าหากพูดถึงการลงทุน หลายคนก็คงจะนึกถึงสินทรัพย์ที่ได้ยินและคุ้นเคยกันอยู่บ่อย ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ตราสารทุนหรือหุ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนดำเนินอยู่ภายใต้สกุลเงิน fiat (เฟียต) เป็นสกุลเงินที่เราใช้แลกเปลี่ยนกันเป็นหลักในปัจจุบันสามารถจับต้องได้ แต่ในช่วงหลังมานี้ทุกคนอาจเคยได้ยินสกุลเงิน Cryptocurrency (คริปโตเคอร์เรนซี) กันมาบ้าง สงสัยกันหรือไม่ว่าคริปโตเคอร์เรนซี คือสกุลเงินอะไร แล้วมีความแตกต่างจากสกุลเงินปกติอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบให้ทุกคนได้ทราบกัน

คริปโตเคอร์เรนซี คือ อะไร

คริปโตเคอร์เรนซี คือ  เป็นสกุลเงินดิจิทัล หรือสกุลเงินเข้ารหัส ซึ่งมีมูลค่าสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้เช่นเดียวกับสกุลเงินทั่วไป แต่มีความแตกต่างกันที่ตัวคริปโตเคอร์เรนซีนั้นไม่สามารถจับต้องเป็นรูปธรรมได้เหมือนกับเหรียญหรือธนบัตรที่ใช้เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนหลักของสกุลเงินเฟียตในปัจจุบัน แต่ตัวคริปโตนั้นจะใช้โค้ดคอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่าผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งคริปโตเคอร์เรนซีตัวแรกที่เกิดขึ้นคือ Bitcoin (บิตคอยน์)

หลักการทำงานของคริปโตเคอร์เรนซี

คริปโต คือ

หลักการทำงานของคริปโตเคอร์เรนซีจะทำงานอยู่บน “Blockchain (บล็อกเชน)” ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยจะบันทึกข้อมูลลงในกล่อง (Block) และนำมาต่อกันเรื่อย ๆ เหมือนสายโซ่ (Chain) ประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแบบ “กระจายศูนย์” (Distributed Ledger Technology: DLT) ปราศจากตัวกลางอย่างธนาคารและรัฐบาลมาควบคุม ทุกคนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบความเคลื่อนไหวได้ตลอด ด้วยลักษณะการทำงานของเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีนี้ กล่าวได้ว่าคริปโตเคอร์เรนซี คือ หนึ่งในจักรวาล Metaverse 

ประโยชน์ของคริปโตเคอเรนซี่

ประโยชน์คริปโต

1. มีความปลอดภัยในการทำธุรกรรมและมีความเป็นส่วนตัว

เนื่องด้วยคริปโตเคอร์เรนซี ทำงานอยู่บนเทคโนโลยีที่ Blockchain (บล็อกเชน) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง เพราะมีลักษณะการเก็บข้อมูลเชื่อมต่อกันเป็นลูกโซ่ จึงทำให้ยากต่อการถูกแฮก และมีความเป็นส่วนตัวเพราะวิธีโอนคริปโตเคอร์เรนซีนั้นทำได้โดยผ่าน Address ซึ่งไม่จำเป็นต้องระบุตัวตน นอกจากนี้ยังมีความโปร่งใสเหมาะกับการสะสมมูลค่าเพราะไม่มีใครสามารถควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จ

2. ทำธุรกรรมได้ง่ายและรวดเร็ว ไม่ต้องผ่านธนาคาร

คริปโตเคอร์เรนซีกำเนิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาการผูกขาดด้านธุรกรรมว่าต้องทำผ่านบุคคลทำให้คริปโตเคอร์เรนซีมีโครงสร้างแบบกระจายอำนาจเพื่อช่วยให้สินทรัพย์อยู่นอกการควบคุมของรัฐบาล หน่วยงานส่วนกลางและสถาบันทางการเงิน ส่งผลให้ดำเนินการธุรกรรมได้โดยตรง และรวดเร็วภายใต้ระบบที่ใหญ่ขึ้น

3. สามารถซื้อขายได้ตลอด 24 ชม

คริปโตเคอร์เรนซีจะใช้คอมพิวเตอร์ดำเนินการธุรกรรมทั้งหมด จึงสามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งแตกต่างจากสถาบันการเงินอย่างธนาคารและตลาดหุ้น ซึ่งมีวัน-เวลาเปิดปิดทำการที่แน่นนอน จึงส่งผลให้คริปโตเคอร์เรนซีมีสภาพคล่องทางการเงินที่สูง เพราะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอยู่ตลอด และสามารถเลือกเวลาจัดการสินทรัพย์ที่เหมาะสมที่สุดได้เองได้

4. รักษามูลค่าป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ

นักธุรกิจหรือเศรษฐีในปัจจุบันเริ่มหันมาสะสมมูลค่าของสินทรัพย์ผ่านคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น โดยเฉพาะ “บิตคอยน์” เนื่องจากเชื่อว่าในขณะที่เงินเฟ้อขึ้น สกุลเงินต่าง ๆ จะมีมูลค่าที่ลดลงตามกาลเวลาแต่มูลค่าของคริปโตเคอร์เรนซีจะขึ้นอยู่กับอุปสงค์ และอุปทานของเหรียญเป็นหลักไม่แปรผันไปตามความเฟ้อของค่าเงิน

5. ต้นทุนในการทำธุรกรรมต่ำ และทำธุรกรรมต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

คริปโตเคอร์เรนซีเมื่อทำธุรกรรมใด ๆ ค่าธรรมเนียมจะถูกลง เนื่องจากไม่ต้องทำผ่านสถาบันการเงินซึ่งคิดอัตราค่าธรรมเนียมที่สูง โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมข้ามประเทศ นอกจากเรื่องค่าธรรมเนียมขั้นตอนความยุ่งยากก็มีอยู่ไม่น้อย เช่นนั้นแล้วการทำธุรกรรมโดยใช้คริปโคเคอร์เรนซีจะสามารถลดปัญหานี้ได้ เพราะคริปโตเคอร์เรนซีนี้ก็เหมือนกับสกุลเงินที่ไร้พรมแดนและไร้ตัวกลางคอยควบคุม

 

ประเภทของเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี

หลังจากที่ทุกคนได้ทราบกันแล้วว่าคริปโตเคอร์เรนซี คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร แต่ทุกคนรู้หรือไม่ว่าตัวเหรียญคริปโคเคอร์เรนซีมีอยู่หลายประเภท ซึ่งเราก็จะพาทุกคนไปคำความรู้จักประเภทของเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีว่ามีอะไรกันบ้าง

เหรียญคริปโตมีอะไรบ้าง

กลุ่มรักษามูลค่า (Store of Value)

เป็นเหรียญที่มีอุปทานอย่างจำกัดคือเหรียญออกมาจำนวนเท่าไหน ก็จะบันทึกไว้เท่านั้น และจะไม่มีการเพิ่มจำนวนอีกในภายหลัง แตกต่างกับสกุลเงิน fiat ที่ใช้กันเป็นหลักในปัจจุบันที่มีอุปทานไม่สิ้นสุด และเหรียญกลุ่มนี้เป็นเหรียญที่สามารถเพิ่มกำลังซื้อได้เมื่อเวลาผ่านไป ตัวอย่างเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีประเภทนี้ เช่น Bitcoin (BTC), Litecoin (LTC), Bitcoin Cash (BCH) เป็นต้น

กลุ่มสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract)

เป็นเหรียญเครือข่ายบล็อกเชนซึ่งสามารถใช้ smart contract ได้ โดยตัว smart contract เป็นกระบวนการทางดิจิทัลที่กำหนดขั้นตอนการทำธุรกรรมแบบอัตโนมัติไว้ล่วงหน้าโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง ทำให้ผู้พัฒนาอื่นสามารถพัฒนาต่อยอดได้ เพื่อการใช้งานที่หลากหลาย มูลค่าของเหรียญนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการในตลาดความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เข้ามาพัฒนาบนเครือข่ายของมัน ตัวอย่างเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีประเภทนี้ เช่น เหรียญ Ethereum (ETH), Cardano (ADA), Solana (SOL) และ Kusama (KSM) เป็นต้น

กลุ่ม Stablecoin

เหรียญกลุ่มนี้ที่เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างสกุลเงิน Fiat และสกุลเงินดิจิทัล เป็นการผสมผสานระหว่างความเสถียรภาพของสินทรัพย์ดั้งเดิมอย่างเงินและทองกับความยืดหยุ่นของสินทรัพย์ดิจิทัล ช่วยให้มูลค่าเหรียญดิจิทัลนี้มีความเสถียรภาพมากขึ้น โดยเหรียญนี้จะมีมูลค่าคงที่ ยึดตามหลักสกุลเงินหลักของโลกแบบ 1:1 ทำให้สามารถเทียบมูลค่าและแลกเปลี่ยนได้  เช่น USDT และ USDC Stablecoin สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ Fiat-Collateralized (อ้างอิงด้วยเงินเฟียต) เช่น USDT และ USDC, Commodity-Collateralized (อ้างอิงด้วยสินค้าโภคภัณฑ์) เช่น GOLD ของ Paxos, Crypto-Collateralized (อ้างอิงด้วยคริปโตฯ) เช่น DAI และ Non-Collateralized (ไม่อ้างอิงด้วยอะไรเลย) ตัวอย่างเหรียญในกลุ่ม Stablecoin เช่น เหรียญ “USDT” และ “USDC” 

กลุ่ม DeFi (Decentralized Finance)

Defi ย่อมาจาก Decentralized Finance เป็นระบบการเงินไร้ตัวกลางอย่างธนาคาร ที่สร้างขึ้นบนบล็อกเชน ทุกคนสามารถร่วมกันตรวจสอบได้ โดยเหรียญนี้มักถูกพัฒนาขึ้นสำหรับขับเคลื่อนเครือข่ายบล็อกเชน และมักจะถูกตั้งชื่อตามเครือข่ายบล็อกเชนที่เป็นผู้ออกเหรียญนั้น ๆ โดยมูลค่าของตัวเหรียญนี้จะมาจากความนิยม ตัวอย่างเหรียญในกลุ่ม DeFi เช่น Maker (MKR), SushiSwap (SUSHI), Uniswap (UNI), Pancakeswap (CAKE) และ Aave (AAVE) เป็นต้น

กลุ่มส่งต่อมูลค่า (Value Transfer)

เป็นเหรียญของเครือข่ายที่ถูกออกแบบและพัฒนาเพื่อส่งต่อมูลค่าเหรียญผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะมีความรวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมที่ถูกในการทำธุรกรรมแต่ละครั้ง เช่น การโยกย้ายเหรียญระหว่างเว็บไซต์เทรดต่าง ๆ ตัวอย่างเหรียญในกลุ่ม GameFi เช่น Decentraland (MANA), The Sandbox (SAND), Axie Infinity (AXS) และ My Neighbor Alice (ALICE) เป็นต้น

กลุ่ม GameFi

เป็นเหรียญที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในเกมหรือโลกเสมือนจริง เกิดจากการพัฒนาแอปพลิเคชันบนบล็อกเชน เป็นกลุ่มเหรียญที่ใช้เป็นรางวัลที่ได้จากการเล่มเกม ซึ่งเหรียญ GameFi ที่ได้มานี้สามารถนำไปซื้อ  ไอเทมต่าง ๆ ในเกมได้ ตัวอย่างเหรียญในกลุ่ม GameFi เช่น Decentraland (MANA), The Sandbox (SAND), Axie Infinity (AXS) และ My Neighbor Alice (ALICE) เป็นต้น

กลุ่มเหรียญมีม (Meme Coins)

เป็นเหรียญที่สร้างขึ้นโดยมีแรงบันดาลใจจากเรื่องตลกบนโลกอินเทอร์เน็ต หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นเหรียญที่สร้างขึ้นมาเพื่อความสนุกสนาน เหรียญมีมที่ได้รับความนิมสูงคือ “Dogcoin” แต่เหรียญมีมเป็นเหรียญที่มักนิยมกันเป็นระยะเวลาสั้น ๆ จึงต้องคอยระวังเรื่องการลงทุน เพราะมีความผันผวนสูง

วิธีการลงทุนคริปโตเคอร์เรนซี

วิธีการลงทุนคริปโต

ก่อนที่จะเริ่มลงทุนอะไรก็อันดับแรกควรทำคือศึกษาสิ่งที่กำลังจะลงทุนเสียก่อน ต้องเข้าใจและยอมรับความเสี่ยง และมูลค่าที่ผกผัน เพราะมูลค่าสินทรัพย์นั้นขึ้นลงได้อยู่ตลอดเวลา อาจมีได้กำไรบ้าง หรือต้องยอมขาดทุนบ้าง  ตัวคริปโตเคอร์เรนซีก็เช่นกัน เพราะคริปโตเคอร์เรนซีมีอยู่หลากหลายเหรียญ และยังมีเกิดใหม่อยู่เรื่อย ๆ ต้องมีการศึกษาประเภทของเหรียญ ความเป็นมาของเหรียญให้เข้าใจก่อนที่จะเลือกลงทุน รวมทั้งวิธีการลงทุน ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับตัวเอง ซึ่งเราก็ได้รวบรวมวิธีการลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีไว้ให้แล้วดังนี้

1.การลงทุนระยะยาว (Hodl)

Hodl ย่อมาจาก Hold on for dear life เป็นลักษณะของการลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีแบบถือเหรียญไว้ยาว ๆ ถึงหลักเดือนหรืออาจจะหลักปี จะไม่ยอมขาย ไม่ว่าตลาดซื้อขายจะกำลังขึ้นหรือลง และคนที่ใช้วิธีการลงทุนแบบนี้ ถึงแม้ราคาที่ซื้อมาจะแพงกว่าราคาตลาดปัจจุบันก็จะยังไม่ยอมขายทิ้ง เพราะเชื่อว่าราคาในอนาคตจะกลับมาดีดตัวอีกครั้ง

2.การเทรด (Trading)

การเทรดเป็นวิธีการทำกำไรในระยะเวลาที่สั้น ใช้ความผันผวนของราคาคริปโตเคอร์เรนซี โดยจะใช้วิธีซื้อมาแล้วขายไป อาจไม่ได้เน้นให้ได้กำไรมาก แต่เน้นให้ได้กำไรอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้วิธีการเทรดแบบนี้ต้องมีทักษะการวิเคราะห์ ติดตามข่าวสารอยู่เสมอ และอาจต้องใช้ประสบการณ์เข้าร่วมด้วย   จึงจะสามารถเทรดออกมาได้อย่างแม่นยำ

3.Staking

เป็นการนำเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี มาวางค้ำประกันกับแพลตฟอร์มที่รองรับการ Stake  และล็อกไว้ให้อยู่นิ่ง ๆ โดยเหรียญนั้นจะถูกนำไปใช้ในกระบวนการตรวจสอบธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนบล็อกเชน แบบ Proof of stake (PoS) ผลตอบแทนที่ได้จะเป็นรูปแบบของดอกเบี้ย โดยมีอัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละแพลตฟอร์ม

4.Yield Farming

เป็นการนำสินทรัพย์คริปโตเคอร์เรนซีไปฝากไว้ใน Liquidity Pool บนแพลตฟอร์มใน Defi เพื่อให้สินทรัพย์ของเราได้สร้างผลตอบแทนสูงสุด และเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับแพลตฟอร์มนั้น ๆ โดยผลตอบแทนจะได้จากค่าธรรมเนียมจากการแลกเปลี่ยนใน Liquidity Pool ซึ่งจะแปรผันตามจำนวนคนที่เข้ามาแลกเปลี่ยนบนแพลตฟอร์ม และผลตอบแทนจาก Governance Token จากแพลตฟอร์มนั้น ๆ บน Defi

5.การขุด (Mining)

เป็นกระบวนการที่จะได้มาของเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งต้องถอดรหัสสมการทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการยืนยันธุรกรรมและเพิ่มบล็อกข้อมูลใหม่ลงบนบล็อกเชน ผู้ที่ถอดสมการได้ก่อนจะได้เหรียญคริปโตเคอร์เรนซีนั้น ๆ เป็นรางวัลตอบแทน แต่วิธีการนี้มีต้นทุนในเรื่องของสเปคคอมพิวเตอร์และค่าไฟ เนื่องจากต้องใช้พลังงานสูงในการขุด

6.แอร์ดรอป (Airdrop)

เป็นการแจกเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี รวมทั้งโทเคน แต่ต้องแลกกับการที่ต้องเข้าร่วมกิจกรรมที่ผู้แจกได้กำหนดเงื่อนไขไว้ เพราะส่วนมากเหตุผลที่มีการแจกเหรียญฟรี มักมีจุดประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์เหรียญที่ออกมาให้เป็นที่รู้จัก และให้มีการใช้งานที่กว้างขวางขึ้น

 

ข้อควรระวังในการลงทุนคริปโตเคอร์เรนซี

อย่างที่ทราบกันว่าการลงทุนทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ประเภทไหน ตัวคริปโตเองก็เช่นกัน หากใครที่สนใจจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าความเสี่ยงของคริปโตเคอร์เรนซี คืออะไรบ้าง

 

1.การลงทุนมีความเสี่ยง และมีความผันผวนสูง

เนื่องจากตลาดคริปโตเคอร์เรนซีนั้นเป็นตลาดที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงและไม่มีการควบคุม จึงส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนสูง ราคาขึ้นลงได้ตลอดเวลา สามารถขึ้นไปสูงสุดอย่างไร้เพดาน แต่ก็สามารถลงมาต่ำสุดจนมูลค่าเหลือ 0 ได้เพียงข้ามคืน อีกทั้งข่าวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันก็ส่งผลต่อตัวตลาดเช่นกัน ดังนั้นหากใครคิดจะลงทุนก็ต้องศึกษาความเสี่ยงให้ดี และควรลงทุนในระดับที่ตนเองแบกรับความเสี่ยงไหว

2.มีคนใช้เป็นช่องทางกระทำการผิดกฎหมาย

การไม่ต้องเปิดเผยตัวตน รักษาความเป็นส่วนตัวในการทำธุรกรรมนั้นถือว่าเป็นจุดเด่นของ             คริปโตเคอร์เรนซี แต่ในอีกแง่หนึ่งก็เป็นช่องโหว่ จากการไม่สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปนี้ มากระทำเรื่องผิดกฎหมายได้ เช่น ใช้เป็นช่องทางการฟอกเงิน

3.ธนาคารกลางส่วนใหญ่ยังไม่รองรับการชำระหนี้ตามกฎหมาย

ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่รองรับการทำธุกรรมต่าง ๆ ด้วยคริปโตเคอร์เรนซี หรือกล่าวได้ว่ายังไม่สามารถใช้คริปโตเคอร์เรนซีชำระหนี้ตามกฎหมายประเทศไทยได้ จะใช้คริปโตเคอร์เรนซีซื้อขายและเปลี่ยนสินค้าได้ในกรณีที่ภาคเอกชนได้ตกลงให้สามารถรับชำระแลกซื้อสินค้าด้วยคริปโตเคอร์เรนซีได้เท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินและระบบเศรษฐกิจไทย

4.ยังมีความเสี่ยงต่อการถูกแฮก

ตราบใดที่ระบบการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของสกุลเงินคริปโคเคอร์เรนซียังต้องใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ ก็หลีกเลี่ยงความเสี่ยงเรื่องการโดนแแฮกข้อมูลได้ยาก ยิ่งตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเติบโตเท่าไร ก็ยิ่งล่อให้มีบุคคลเข้ามากระทำเรื่องผิดกฎหมายโดยการแฮกข้อมูลมากขึ้น แล้วความเสี่ยงของผู้ลงทุนก็จะมากตามไปด้วย

5.สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย

การพัฒนาของเทคโนโลยีนี้บางอย่างก็ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้เป็นพลังงานสะอาดแทนการใช้น้ำมัน แต่กลับกันการพัฒนาของเทคโนโลยีนี้ก็อาจส่งผลเสียต่อโลก อย่างที่ทราบกันไปข้างต้นแล้วว่าหนึ่งในวิธีการหารายได้จากคริปโตเคอร์เรนซีมีการใช้วิธีการขุด (Mining) ซึ่งวิธีนี้จะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าสูงมากในการขุด ทำให้นักสิ่งแวดล้อมแสดงความกังวลว่าการกระทำเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ผู้ลงทุนอาจต้องคำนวณความคุ้มค่าจากการขุดให้ดี เพราะต้นทุนที่ใช้ค่อนข้างที่จะสูงไม่ว่าจะต้องใช้สเปคคอมพิวเตอร์ที่สูงหรือค่าไฟที่ต้องจ่ายมากขึ้นกว่าปกติหลายเท่า แต่ก็มีคริปโตเคอร์เรนซีบางประเภทเป็นเหรียญที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

สรุป

cryptocurrency คือ

คริปโตเคอร์เรนซีก็จัดว่าเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่น่าลงทุนในขณะนี้ เพราะเป็นการลงทุนในรูปแบบที่ไรเตัวกลางในการควบคุม มีความส่วนตัวและความปลอดภัยสูง แต่ทั้งนี้การลงทุนทุกประเภทก็ไม่อาจหลีกหนีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ หากสนใจลงทุนต้องศึกษาและทำความรู้จักประเภทสินทรัพย์ที่จะลงทุนให้ดีเสียก่อน 

 

 

Press ESC to close